เริ่มต้นวันที่ 6 กันแต่เช้า เพราะวันนี้ผมต้องไปต่อคิว เพื่อกินข้าวที่ร้านอาหารร้านนึงครับ ร้านที่กำลังจะไปนี้ ไม่มีการจองผ่านทางช่องทางไหนเลย จะต้องไปต่อคิวด้านหน้าร้าน เพื่อรอเข้าไปกินที่ร้านเท่านั้นครับ ซึ่งเท่าที่เห็นใน review ตาม Facebook ร้านนี้เมื่อก่อนเหมือนจะได้ Michelin Star มาด้วยครับ .. ร้านที่เราจะไปกินวันนี้คือ Unagi Obana (うなぎ 尾花) ครับ
ผมออกจากที่พักแถว Nakano Broadway ตั้งแต่ประมาณ 8โมง เช้าครับ เพราะกะจะไปหาอะไรกินเบาๆแถวสถานีรถไฟ Nakano ก่อน .. สุดท้ายก็กลับไปตายรังที่ Starbucks แถวสถานีรถไฟ Nakano จนได้ .. หลังจากซื้อกาแฟ และ กินขนมปังรองท้องเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปที่ ร้าน Obana (尾花) กันต่อครับ
แผนที่ ร้าน Unagi Obana (うなぎ 尾花) in Tokyo ครับ
ผมขึ้นรถไฟจากสถานี Nakano ไปลงที่สถานี Minami-Senju Station ครับ แล้วก็เดินไปที่ ร้าน Obana (尾花) อีกประมาณไม่เกิน 300 เมตร ครับ .. มาถึงร้านประมาณ 10:20 ก็เจอลูกค้าที่มายืนรอหน้าร้านแล้วประมาณนี้ครับ
หลังจากยืนรอไปซักพัก ก็มีคุณป้า ไม่ชัวร์ว่าเป็นเจ้าของร้านหรือพนักงานของที่ร้าน ออกมาดูคิว แล้วก็มารับคิวด้านหน้าร้าน เหมือนคุณป้าจะนับจำนวนด้วย ว่าจำนวนโต๊ะของรอบแรกนั้นได้ถึงคิวไหน ซึ่งผมก็พกดวงมาเต็มกระเป๋า ได้คิวสุดท้ายพอดี 555
พอ 11:00 ปุ๊บ .. ประตูหน้าร้านก็เปิด เพื่อเตรียมให้ลูกค้ากลุ่มแรกเข้าไปที่ร้านครับ ตรงเวลาสุดๆ
ในร้านก็จะมีมุมสวนสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ ซึ่งเหมือนจะมีศาลอยู่ ไม่ชัวร์ว่าใช่ศาลแบบของญี่ปุ่นหรือเปล่า
พอร้านเปิดแล้ว ถ้าลูกค้าที่ยังไม่ได้เข้าไปที่รอบแรก ทางร้านก็จะให้มานั่งรอบริเวณนี้ครับ กลิ่นบริเวณนี้ ก็จะหอมปลาไหลย่างนิดๆ กระตุ้นให้อยากกินแท้ๆ ถ้ากำลังหิวๆอยู่นี่ น่าจะแย่ครับ เพราะต้องรอให้รอบแรกเสร็จก็ประมาณเกือบ 1ชั่วโมง ถึง 1:30 ชั่วโมงได้
ในที่สุด คิวสุดท้ายของรอบแรก ที่ร้าน Unagi Obana (うなぎ 尾花) ก็เตรียมตัวได้เข้าไปแล้วครับ .. ลุยยยย
เมนูของที่ร้านคับ ทางร้านมีให้หลายภาษาอยู่นะครับ แต่เหมือนจะไม่มีภาษาไทย เท่าที่เห็นก็มี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ แล้วก็เหมือนจะมีภาษาเกาหลี .. หรือผมดันบอกไปว่าขอภาษาอังกฤษ เค้าเลยไม่เอาภาษาไทยมาให้หรือเปล่า แต่คุ้นๆว่า เหมือนจะมีภาษาไทย
ตอนอยู่หน้าร้าน คุณป้าได้ถามรายการที่จะสั่งไปแล้วครับ ซึ่งผมสั่งเมนูหลักๆ ไป 2 แบบคือ .. Una-Jyu ขนาด M (#1) และ Kabayaki ขนาด M (#2) ซึ่งเมนูอื่นๆ คุณป้าบอกให้มาสั่งต่อในร้านครับ พอเข้ามาถึงในร้าน เลยสั่งเพิ่มตามนี้ .. U Maki (#6) , Gohan (#7) เพราะสั่งรายการที่ (#2) มา ซึ่งเป็นแบบปลาไหลย่าง อย่างเดียว .. แล้วก็ Kimo Sui (8) ซึ่งรายการที่ผมดันพลาดไม่ได้สั่งไป คือ ตับปลาไหลย่าง แต่ที่พลาดอาจจะเพราะผมไม่เห็นในเมนู ไม่ชัวร์ว่ามันเป็นเมนูพิเศษ หรือเปล่าเหมือนกัน หรือว่าที่ร้านนี้ไม่มี ??? .. เพราะตอนจะสั่งเพิ่ม ก็แอบเห็นที่เมนูว่า สามารถสั่งอาหารได้แค่รอบเดียว ครั้งแรกเท่านั้น ถ้าสั่งแล้ว ไม่สามารถสั่งเพิ่มได้ .. อดไป T_T
หลังจากสั่งรายการอาหารไปเรียบร้อย เครื่องดื่มที่สั่งไปก็มาเสริฟครับ สั่งเป็นแบบน้ำส้มไป แต่น้ำส้มที่ได้ เป็นของ Bireley’s ซ่ะงั้น 555 .. นึกว่าจะเป็นแบบน้ำส้มสดคั้นอะไรแบบนี้ซ่ะอีก
ออเดิฟจานแรกมาแล้วครับ เป็น U Maki (Grilled eel wrapped in a omelet) .. กลิ่นหอมรุนแรงมาก พูดเลย ตัวไข่นุ่ม ละมุนลิ้นดีมาก แต่ตัวไส้ที่เป็นเนื้อปลาไหลสับ ผมยังเฉยๆ ไม่ได้ว้าวมากนัก
ขนาดเฉยๆ แพร๊บเดียว หายต๋อม .. ผมกับแฟน จัดกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะว่าหิวหรือว่ามันอร่อย กันแน่ ..
โต๊ะที่ผมนั่ง นั่งอยู่ด้านหน้าของห้องครัวพอดี ก็จะเห็นเชพกำลังวุ่นกับการย่างปลาไหล ดูเพลินๆ ดีเหมือนกันครับ ..
จานหลักอันแรกมาแล้วครับ เป็น Una-Jyu (うな重) : Grilled eel with teriyaki sauce on a bed of rice (served with a small dish of japanese pickles) แบบ Medium size ราคา 5,830 เยน ครับ .. มาแบบชิ้นเป้งๆ หอมๆ ย่างมากำลังดี ไม่ค่อยมีรอยซอสไหม้เท่าไหร่
จานถัดไปตามมาติดๆ กับ Kabayaki () Grilled eel with teriyaki sauce. (bigger than the Una-Jyu eel) แบบ Medium size ราคา 5,500 เยน ครับ .. จากแรกเมื่อกี้ว่าใหญ่แล้ว เจอจานนี้เข้าไป ใหญ่เบิ่มกว่าอีก ย่างมาแบบเดียวกันคับ แต่ไม่มีข้าว แต่ชิ้นใหญ่กว่า ถ้าไม่ใช่สายข้าวที่ชอบข้าวราดซอสเยอะๆ ผมแนะนำให้เลือกสั่งแบบนี้ครับ
จานนี้สำหรับคนเดียว ผมคิดว่า ก็น่าจะอิ่มแล้วแหละครับ .. ชิ้นใหญ่ๆ เลย
แบบนี้ก็ไม่ได้เล็กซ่ะทีเดียว ใหญ่เต็มกล่องมาก ตัดมาแบบพอดีสุดๆ เป๊ะโคตร .. เนื้อปลาไหลย่างของที่นี่ นิ่มมากครับ เนื้อฟูแน่น ย่างซอสมาแบบเข้มข้น รสชาตดีมาก กินบ่อยๆ ได้แบบไม่น่าจะเบื่อเลยทีเดียว โดยรวมให้ 3กระโหลกไฟ ครับ .. แต่ผมยังรู้สึกว่า อีกร้านที่เคยกิน อร่อยกว่านิดหน่อย ร้านไหน เดี๋ยวไว้ตามไปดูใน post ถัดๆไปนะครับ อิอิ
มาดูแบบภาพเคลื่อนไหวกันบ้างคับ ..
น้ำซุปมาแล้วครับ .. Kimo Sui : Clear soup with eel liver กลิ่นหอมจางๆ แต่รสชาตมาแบบหนักๆ อาจจะเพราะ ตับปลาไหล ด้วยครับ
ตับปลาไหล มาชิ้นแบบเป้งๆ ผมสั่งมา 2ถ้วย ผมกับแฟน .. แฟนไม่กิน ตับปลาไหล เสร็จโจร อิอิ
หมดแล้วครับ .. เป็นช่วงเวลาที่ฟินดีแท้ แต่ส่วนตัวผม ผมยังรู้สึกว่า เคยเจอร้านที่กินแล้ว ประทับใจมากกว่านี้ จะเป็นร้านไหน รอตามดูกันใน post ถัดๆไปได้เลยนะครับ
หลังจากกินเสร็จ ก็ได้เวลาคิดค่าเสียหายครับ .. สำหรับมื้อนี้ โดนไป 15,000 กว่าเยน หรือถ้าคิดเป็นเงินไทย เรทตอนนั้น ก็น่าจะประมาณ แถวๆ 4,000 บาท ครับ
คุ้มมั้ยนะเหรอ ส่วนตัวผมคิดว่า .. ได้มากินร้านที่เคยได้ Michelin Star ก็ถือว่าคุ้มนะครับ เพราะรสชาตก็ใช้ได้ รวมถึงบริการที่ถือว่าโอเคมากครับ
หลังจากอิ่มจากปลาไหลแล้ว กว่าจะออกจากร้านก็ปาไปเกือบเที่ยงครึ่งแหนะคับ อยู่ในร้านเกือบ 1:30 ชั่วโมง เลยนะนี่ ก็ถือว่านานอยู่ แต่คิวที่เข้าไปก่อน ก็ออกมาก่อนซักพัก เพราะเค้าได้อาหารก่อนโต๊ะผม ที่เป็นลำดับสุดท้ายของรอบแรก
อิ่มๆแบบนี้ ก็เลยไปเดินย่อยกันต่อแถว Shibuya ครับ .. เพราะน้องชายฝากซื้อรองเท้า ของ Nike Dunk Low .. พอเห็นสีแล้วก็ สีหลากหลายดีแท้ วัยรุ่นเค้าฮิตกันแบบนี้สินะ
ระหว่างเดินแถวโซน Shibuya เพื่อที่จะไปร้านรองเท้าที่น้องชายบอกมา ก็ผ่านร้านนี้ครับ Kith – Tokyo ซึ่งอยู่บริเวณโซนห้าง Shibuya’s Miyashita Park complex ของในร้านก็มีหลากหลายครับ เป็นแนว American luxury lifestyle .. พอแวะมาดูโซนรองเท้า ราคาโหดสลัดเลยครับ ส่วนใหญ่ที่แพงๆ ก็จะเป็นรุ่นที่หายากๆ แล้วก็เป็นสีที่หายากๆ ครับ
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปที่ร้านเป้าหมาย .. ร้าน KICKS LAB, Shibuya ครับ
ด้านหน้าร้านก็มีเอาสินค้าของ Nike รุ่นฮิตๆ มาดักรอให้คนที่เดินผ่านหน้าร้านแวะเข้าไปดูครับ ..
ภายในร้านจัดเรียงรองเท้าให้ดูสวยดีครับ .. มีมากมายละลานตาเลย ..
เพียบบบ เต็มไปหมด สีแปร๊ดๆแนววัยรุ่น เพียบบบบ
ผมอาจจะอายุเลยวัยที่ชอบรองเท้าแนวนี้มาแล้วก็ได้ .. ตอนนี้เหรอ ใส่รองเท้าแนวสุขภาพ เซฟเข่า 555
สีสวยมากกก สดดีแท้ .. พวกนี้น่าจะเป็นรุ่น Nike Dunk Low Retro มั้ง พอลองส่องราคา สีที่ตัวเองชอบซักนิด .. อุ้ยยยย 33,880 เยนนนน แถวๆ 9,000 บาท
รีบวางเลยฮ่ะ .. น่าจะไม่ใช่แนวของผมเท่าไหร่ จริงๆ สีพอได้อยู่ แต่ราคา เกินงบไปนิดดดด
หลังจากดูเสร็จ น้องชายก็ตัดใจกับราคาเหมือนกัน ถึงจะอยู่ใน งบ ที่เค้าอยากได้ แต่ก็ยังไม่เจอสีที่เจ็บพอ 555
ผมก็เลยออกไปเดินเล่นแถวโซน Shibuya ต่อ เพื่อเดินดูร้านขายของต่างๆ เพื่อมีอะไรโดนใจตัวเองบ้าง .. โซน Shibuya ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์อาทิตย์ คนจะมาเดินกันเยอะมากครับ ยิ่งช่วงนี้ อากาศเย็นๆ เดินสบายๆ ไม่ร้อน แถมเย็นกำลังดี อุณหภูมิ แถวๆประมาณ 4-8 องศา สบายโคตรๆครับ
ระหว่างเดิน ก็เจอ Dog Walker ครับ .. จูงน้องหมามาเดินเล่นหลายตัวเลย เป็นอาชีพที่น่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ยะ
ประมาณ 1ทุ่มกว่าๆ ก็ยอมแพ้ครับ เมื่อยโคตร .. เลยนั่งรถไฟกลับไปที่สถานี Nakano Station เพราะตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว ไปหาอะไรกินมื้อเย็นกันต่อดีกว่าครับ
มื้อเย็นวันนี้ ขอนำเสนอร้านนี้ครับ .. Yakiniku Like ครับ ร้านนี้มีหลายสาขาที่ Tokyo ครับ เห็นมีอยู่ด้านในบริเวณ Nakano Broadway เลยไม่พลาดขอเข้าไปลองซ่ะหน่อย ว่าจะต่างกับที่สาขาในไทยมั้ย (เซนทรัล ลาดพร้าว)
หลังจากแจ้งพนักงานเสร็จแล้ว พนักงานก็จะเซ็ทที่หน้าจอให้ แล้วเราก็สามารถกดได้เลยครับ .. ซึ่งหลังจากกดเสร็จแล้ว จะมีข้อความเด้งเตือนที่หน้าจอว่าอาหารที่สั่งได้รับเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องเอาบัตรที่อยู่ตรงโต๊ะ ไปยื่นให้พนักงานเพื่อรับอาหารตามหมายเลขนั้นๆ กลับมาที่โต๊ะเองครับ (พนักงานจะไม่ได้มาเสริฟให้ที่โต๊ะ)
รอบนี้ไม่ค่อยหิวมากเท่าไหร่ครับ แต่สั่งมาแบบไม่มีที่วางเลย 555 .. ไม่ใช่อะไรนะครับ แค่อยากจะลองสั่งทุกเมนูที่เป็นเนื้อมาลองดูแค่นั้นเอง สำหรับร้าน Yakiniku LIKE ที่ Tokyo โดยรวมผมว่าดีเลยแหละ ราคาไม่แพงมาก มื้อนี้ 2คน แค่ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น แถมเนื้อของที่นี่ ก็ดีใช้ได้เลย เทียบได้เหมือนกินร้าน Yakiniku ดีๆในไทย (ร้านประจำที่ไทยของผมคือ Nikusho, ตรงสุขุมวิท 31) .. อ้อ ที่นี่จะมี เบียร์บุฟเฟ่ต์ ด้วยนะครับ แต่เป็นแค่บางช่วงเวลา แค่ 550เยน เท่านั้นเอง
หลังจากกินอิ่มกำลังดีแล้ว ก็เดินกลับที่พักแล้วครับ .. วันนี้เป็นวันที่เดินเยอะดีแท้ เดี๋ยวอาบน้ำแล้วก็แช่น้ำร้อนซักพัก ค่อยออกไปกินร้านปิ้งย่างแถวที่พักดึกๆ อีกซักรอบ อิอิ .. สำหรับ 9 Days at Japan in 2023 (Day 6) ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ครับ
To be continue .. 9 Days at Japan in 2023 (Day 7)